กลองชัยมงคล
ความหมายและความสำคัญของกลองชัยมงคล
กลองชัยมงคลหรือกลองชัย เป็นกลองที่เก่าแก่ดั้งเดิมของล้านนาปรากฏชื่อในคัมภีร์ธรรมล้านนา เป็นกลองต้นแบบที่พัฒนาไปสู่กลองปูชาและกลองสะบัดชัยในปัจจุบัน จากช่วงเวลาในอดีตจวบจนปัจจุบันกลองชัยมงคลก็ดี กลองปูชาก็ดี กลองสะบัดชัยก็ดี ยังคงมีบทบาทหน้าที่รับใช้สังคมเสมอมา ในอดีตกลองชัยมงคลมีบทบาทรับใช้อาณาจักร เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่จะใช้ในโอกาสเมื่อเกิดศึกสงคราม ซึ่งทหารจะต้องรู้อาณัติสัญญาณของกลองว่าตีจังหวะใดจะแปรรูปขบวนในลักษณะใด เช่น ปีกกา หรือถลาออกซ้าย/ขวา หรือถอยซ้าย/ขวา หรือประโคมเมื่อมีชัยชนะ รวมทั้งใช้ตีเพื่อเป็นอาณัติสัญญาณที่ต้องการบอกข่าวหรือเหตุการณ์ให้กับประชาชนในชุมชนรับรู้ เช่น นัดประชุม เกิดการลักขโมย เกิดไฟไหม้ เป็นต้น ต่อมาเมื่อสงครามยุติลง บทบาทกลองชัยมงคลเปลี่ยนแปลงไปและนำมาเก็บรักษาไว้ในหอกลองในวัด โดยปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นกลองปูชา และมีการประดิษฐ์ท่วงทำนองการตีกลองใหม่ เป็นการตีถวายเป็นพุทธบูชาบอกกล่าวเทพยดาได้รับรู้ และบอกอาณัติสัญญาณให้คนในชุมชนได้รับรู้ ปัจจุบันเรียกว่า กลองปูชา จึงจัดเป็นกลองของฝ่ายพุทธจักร
ลักษณะของกลองชัยมงคล
กลองชัยมงคล เป็นกลองชุดขนาดใหญ่ประกอบด้วย
๑.กลองใบใหญ่ ๑ ลูก เรียกว่า “แม่กลอง” ทำด้วยไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้ดอกแก้ว ไม้ขนุน ไม้ตะเคียน ซึ่งแล้วแต่โอกาสและความต้องการของช่างหรือผู้ที่สั่งทำเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อ เป็นกลองประเภทขึงด้วยหมุดไม้ ปล่อยหัวหมุดให้ยื่นพ้นออกมานอกตัวกลอง ขนาดหน้ากลองกว้างประมาณ ๒๙ นิ้วถึง ๔๐ นิ้ว
๒.กลองใบเล็ก ๓ ลูก เรียกว่า “ลูกตุบ” ทำด้วยไม้ชนิดเดียวกับแม่กลอง ขึงด้วยหนังทั้งสองหน้าตรึงด้วยหมุดไม้เช่นเดียวกับแม่กลอง มีขนาดดังนี้
ลูกที่ ๑ หน้ากว้าง ๑๑ หรือ ๑๓ หรือ ๑๕ นิ้ว
ลูกที่ ๒ หน้ากว้าง ๑๒ หรือ ๑๓ หรือ ๑๕ นิ้ว
ลูกที่ ๓ หน้ากว้าง ๑๓ หรือ ๑๕ หรือ ๑๗ นิ้ว
เครื่องดนตรีที่นำมาตีประกอบกับกลองชัยมงคลคือฉว่า ๑ คู่ และฆ้องอีก ๙ ใบ ตีประกอบจังหวะเป็นทำนองต่างๆ
จังหวะและท่วงทำนองเพลงของกลองชัยมงคลมีลีลาที่งดงาม เนื่องจากเป็นการตีในพิธีกรรมทางพุทธศาสนาใช้ตีในงานบุญ งานกุศลทางพุทธศาสนาเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา เช่น งานยกฉัตร งานยกช่อฟ้า งานอบรมสมโภชพระพุทธรูป เป็นต้น โดยมีการตั้งจิตระลึกพระคาถาไปพร้อมๆ กับจังหวะการตีกลองว่า “อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชา จรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริ สทัมมสารถิ สัตถาเทวมนุส สานัง พุทโธ ภควาติ พามาอุกสนทุ”
บทบาทและหน้าที่ของเครื่องดนตรีที่ปรากฏในสังคมและวัฒนธรรม
ปัจจุบันกลองชัยมงคลยังมีบทบาทหน้าที่ใช้ตีในงานบุญทางพุทธศาสนาอยู่ และมีการสืบทอดแพร่หลายอยู่ตามวัดต่างๆ เช่น วัดสวนดอก วัดศรีประดิษฐ์ วัดกิ่วแล วัดชัยสถาน (ป่าเสร้าน้อย) วัดท่าทุ่ม เป็นต้น ส่วนมาแต่ละวัดในล้านนามักจะมีกลองปูชาซึ่งพัฒนาการมาจากกลองชัยมงคลประดิษฐานและใช้ตีอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว โดยถือว่ากลองชัยมงคลเป็นมรดกคู่กับแผ่นดินล้านนาที่ทรงคุณค่า บ่งบอกประวัติศาสตร์ความเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่น เป็นมรดกของแผ่นดินที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ ชาวล้านนาทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน เป็นผู้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น แต่อย่างไรก็ดีนักดนตรีรุ่นเยาว์ก็ได้มีการเรียนการตีกลองชัยมงคลและรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มผู้ศึกษาตามสถานศึกษา วัด โดยมีครูผู้ฝึกซ้อมและเริ่มนำสู่การแสดงทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด รวมทั้งถ่ายทอดไปยังโรงเรียนวัดที่ต้องการที่เรียนด้วย ซึ่งทำให้ศิลปะการแสดงประเภทกลองชัยมงคลเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายต่อไป
กระบวนการสืบทอดและสืบสานวัฒนธรรมดนตรี
การไห้วครู
ผู้ที่จะขอเรียนการตีกลองชัยมงคลนั้นต้องมีพิธีไหว้ครูเพื่อเป็นสิริมงคลและขอให้เรียนได้สำเร็จตามประสงค์ พิธีทำในวันพฤหัสบดี และทั้งครูและศิษย์ต้องรักษาศีล ๘ และนุ่งห่มด้วยชุดขาว เครื่องไหว้ครูประกอบด้วย ดอกบัว ๙ ดอก ธูป ๙ ดอก เทียนขี้ผึ้ง ๕ เล่ม น้ำขมิ้นส้มป่อย ข้าวตอกดอกไม้ นำไปไหว้ครูเพื่อขอเรียน ครูก็จะเริ่มสอนโดยจับมือลูกศิษย์ให้ตีกลองแล้วจึงเริ่มสอนลีลาการตีกลองจังหวะและเพลงตามลำดับ เครื่องไหว้ครูนี้ พระมหาจรินทร์ วัดสันป่าข่อย เป็นผู้นำมาใช้
การไหว้ครูอีกลักษณะหนึ่ง คือ เป็นการนำเครื่องสักการบูชา คือ ดอกไม้ขาว ๙ ดอก น้ำขมิ้นส้มป่อย ๑ ขัน ธูป ๙ ดอก เทียน ๕ เล่ม เพื่อเป็นการอธิษฐานระลึกถึงครูบาอาจารย์และพระแม่ธรณีเป็นการส่งกระแสแรงอธิษฐานและส่งเสียงกลองให้ดังไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้าเพื่อไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมราช เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายและใต้สะดือทะเลถึงพระมหาอุปคุตในเมืองบาดาล
แหล่งที่มาของเครื่องดนตรี
การสร้างกลองชัยมงคล
ก่อนทำกลองชัยมงคล สล่าจะพิจารณาไม้ที่ต้องการใช้ทำกลองก่อน จากนั้นจึงทำพิธีขอไม้จากเจ้าที่ (แม่ธรณี)โดยกล่าวโองการบอกกล่าวขออนุญาตเอาไม้ไป โดยบอกจุดประสงค์ของการนำไม้ไปใช้ว่า เพื่อจะนำไปทำกลองสำหรับเป็นพุทธบูชาและนำไปประจำที่วัด การกล่าวโองการของสล่าจะเป็นเชิงพรรณนาตั้งแต่กล่าวถึงลักษณะของไม้ การมีเจ้าของประโยชน์ของไม้ ฯลฯ เครื่องพิธีมีดอกไม้ (ขวา) ๙ ดอก ธูป ๙ ดอก น้ำส้มป่อยสำหรับประพรมเครื่องประกอบพิธีและไม้ที่ได้ขออนุญาตไว้ ข้าวสำหรับเจ้าที่ เจ้าแดน ซึ่งประกอบด้วย ข้าว ๑ ปั้น กล้วย ๑ ลูก อาหารคาว-หวาน น้ำ และดอกไม้ ธูปเทียน หลังจากนั้นก็จะนำไม้ดังกล่าวมาเตรียมทำกลอง ซึ่งในครั้งนั้นใช้ชาวบ้านในชุมชนประมาณ ๖๐ คน ทั้งชายและหญิงใช้เวลาร่วม ๓ วัน ต้องนอนพักแรมอยู่ในป่า ผู้หญิงก็ทำหน้าที่ทำอาหารโดยนำเกลือ ข้าวสาร อาหารแห้งอื่นๆ ไปด้วย ส่วนผักก็จะใช้ผักที่มีอยู่ในป่า ถ้าเป็นไปได้ทุกคนที่ไปเอาไม้จะรักษาศีลส่วนจะกินเจหรือไม่นั้นแล้วแต่ละบุคคล สล่าที่จะทำกลองนั้นนอกจากรักษาศีลแล้วก็จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์
ไม้ที่ใช้ทำกลองชัยมงคลได้แก่ ไม้สัก ไม้ประดู่เหลืองไม้มะมื้อ ไม้ซ้อ ไม้ต้นแก้ว ไม้ตะเคียน ไม้เรียง ในระหว่างการเก็บข้อมูล มีการสร้างกลองชัยมงคล โดยการทำกลองใบนี้ใช้ไม้มะมื้อ ขนาด ๔๐-๔๒ นิ้ว ยาว ๒.๕๐-๓.๐๐ เมตร ราคาไม้ที่ทำกลอง กรณีที่ซื้ออยู่ในราคา ๑๕,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ บาท ได้ไม้มาจากบ้านปางไฮ อำเภอดอยสะเก็ด
เครื่องดนตรีและการประสมวง
การแสดงตีกลองชัยมงคลมีเครื่องดนตรีและการประสมวง ประกอบด้วย
กลองชัยมงคล ๑ ใบ
โหม่ง ๙ ใบ
ฉาบ ๑ คู่
ไม้ฆ้อง ๙ อัน
ไม้ค้อนกับไม้แจ่ม ๑ คู่
เครื่องดนตรีประกอบการตีกลองชัยมงคล
เครื่องดนตรีประกอบการตีกลองชัยมงคลมีลักษณะดังนี้
ชัยมงคลเป็นกลองที่วางไว้บนหอกลอง มีกลองอยู่ ๔ ใบ กลองใบใหญ่ ๑ ใบ อยู่ทางซ้ายมือ กลองใบเล็ก ๓ ใบ อยู่ทางขวามือขนาดลดหลั่นกัน
ลูกตุบ หมายถึง กลองใบเล็ก ๓ ใบ มีขนาดลดหลั่นกัน วางด้านขวามือของผู้ตี
โหม่ง ใช้ตีประกอบจังหวะโดยเป็นจังหวะหลักเสียงโหม่งแต่ละใบจะใช้เสียง “โด” หรือเสียง “ซอล” โหม่งมีลักษณะแบบเรียบตรงกลางนูน มีขอบนอกหักมุมตรงขอบจะเจาะรู ๒ รู ร้อยเชือกไว้ เพื่อสะดวกในการตี
ฉาบ ใช้ประกอบจังหวะ ซึ่งการตีฉาบจะมีลีลาท่าทางประกอบ ฉาบจะตีหยอกล้อยั่วเย้ากับกลองฉาบทำด้วยโลหะ ตรงกลางของฉาบจะมีโค้งออกมา เพื่อสะดวกในการจับฉาบ ทำให้เกิดเสียงกังวาน
ไม้ค้อน เป็นไม้ตีกลอง พันด้วยผ้าล้วนๆ ใช้ตีด้วยมือข้างขวา นิยมพันด้วยผ้าสีเหลืองหรือสีขาว
ไม้แจ่ม เป็นไม้ตีกลองทำด้วยไม้ไผ่ ฉีกปลายออกเป็นซี่ๆ ใช้ตีด้วยมือข้างซ้าย
ขนบและความเชื่อในการบรรเลง
ในอดีตบทบาทหน้าที่ของการตีกลองชัยมงคลเป็นกลองราชอาณาจักร เจ้าผู้ปกครองนครใช้ในยามเกิดศึกสงครามเพื่อใช้เป็นอาณัติสัญญาณการจัดกระบวนทัพ การออกศึก เมื่อชนะศึกก็จะมีการเฉลิมฉลอง เมื่ออำนาจของผู้ปกครองหมดไป กลองชัยมงคลถูกนำมาใช้ในพุทธจักร นำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา อาทิ ประเพณีสมโภชเมืองประเพณีอินทขิล โดยเฉพาะประเพณีอินทขิล บรรดาพ่อครูแม่ครูที่มีความสามารถทางด้านศิลปะการฟ้อนดาบ จ๊อยซอ จะมาแสดงเป็นการเฉลิมฉลอง กลองชัยมงคลก็จะถูกนำมาร่วมแสดงในจังหวะปู่จาธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จังหวะขอฝนแสนห่ากระบวนการสืบทอดและการถ่ายทอด
การทำกลองชัยมงคลสืบเนื่องมาจากการไปเที่ยวดูงานประเพณีต่างๆ ในแต่ละชุมชนและได้เห็นการแสดง เช่น การตีกลองปู่จา การตีกลองสะบัดชัยการตีกลองชัยมงคล ตลอดจนถึงการฟ้อนต่างๆ ครั้นกลับเข้ามาในชุมชนของตนเองก็พบว่ามีกลองอยู่ ๑ ใบอยู่ในวัดกิ่วแลจึงได้ชักชวนกันมาศึกษา ว่าคนในสมัยก่อนมีวิธีการทำกลองกันอย่างไร จึงได้ช่วยกันแกะกลองออกมาศึกษาดู หลังจากนั้นก็เริ่มทำกลองให้แก่วัดเพื่อใช้ตีในงานตามประเพณีของชุมชน คณะสล่าทำกลองชัยมงคลได้ให้ข้อมูลว่า ในการทำกลองแต่ละครั้งได้มีเด็กหรือเยาวชนในหมู่บ้านเข้ามาแวะเวียนดู ให้ความสนใจในการทำกลองแต่ละครั้ง ขั้นตอนการทำกลองแต่ละใบใช้เวลาประมาณ ๗ เดือน ผู้ทำกลองจึงถ่ายทอดโดยการบอกเล่าและวิธีการทำหรือจากการสอบถามของเด็กและเยาวชนที่ให้ความสนใจ ประกอบกับเด็ก เยาวชนในชุมชนก็ให้ความสนใจการตีกลองต่างๆ ได้รับความอนุเคราะห์จากอาจารย์มงคล เสียงชารี มาเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่เด็ก เยาวชน ได้รับความสนใจจากชาวบ้าน เด็ก และเยาวชนเป็นอย่างมาก เพราะครั้นถึงงานประเพณีในชุมชนก็จะได้เด็ก เยาวชนมาตีกลองให้กับทางวัดและชาวบ้านในชุมชนได้ดู
ความสำคัญ/หลักการเหตุผล
กลองชัยมงคล หรือกลองชัย ถือเป็นกลองที่เก่าแก่ดั้งเดิมของล้านนา ซึ่งปรากฏชื่อในคัมภีร์ธรรมล้านนา เป็นกลองต้นแบบที่พัฒนาไปสู่กลองปูชาและกลองสะบัดชัยในปัจจุบัน จากช่วงเวลาในอดีตจวบจนปัจจุบัน กลองชัยมงคลก็ดี กลองปูชาก็ดี กลองสะบัดชัยก็ดี ยังคงมีบทบาทหน้าที่รับใช้สังคมเสมอมา พ่อครูมานพ ยาระณะ ๑ ได้เล่าให้ฟังถึงกลองชัยมงคลว่า กลองชัยมงคลเดิมจะมีบทบาทรับใช้อาณาจักร ซึ่งพระมหากษัตริย์เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่จะใช้ในโอกาสเมื่อเกิดศึกสงคราม ซึ่งทหารจะต้องรู้อาณัติสัญญาณของกลองว่าตีจังหวะใดจะแปรรูปขบวนในลักษณะใด เช่น ปีกกา หรือถลาออกซ้าย / ขวา หรือถอยซ้าย / ขวา หรือประโคมเมื่อมีชัยชนะ รวมทั้งใช้ตีเพื่อเป็นอาณัติสัญญาณที่จะบอกข่าว หรือ เหตุการณ์ให้กับประชาชนในชุมชนรับรู้ เช่น นัดประชุม การลักขโมย ไฟไหม้ เป็นต้น เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือสังคมในชุมชน ต่อมาเมื่อสงครามยุติลง บทบาทของกลองชัยมงคลเปลี่ยนแปลงไปและนำมาประดิษฐานไว้ในหอกลองในวัดแทน โดยปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นกลองปูชา และมีการประดิษฐ์ท่วงทำนองการตีกลองใหม่ เป็นการตีถวายเป็นพุทธบูชา บอกกล่าวเทพยดาได้รับรู้ และบอกอาณัติสัญญาณให้คนในชุมชนได้รับรู้เรียกกันในปัจจุบันว่า กลองปูชา จึงจัดเป็นกลองฝ่ายพุทธจักร
อนึ่ง กลองชัยมงคลในดั้งเดิมซึ่งใช้กับอาณาจักรในช่วงสมัยเชียงใหม่เป็นประเทศราชได้กลับมาใช้กับพุทธจักร คือ กลองชัยมงคลที่เจ้าแก้วนวรัฐเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายของเชียงใหม่นำมาถวายเป็นพุทธบูชาประดิษฐานไว้ที่วัดสระเกษ (วัดเกตการาม) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งศรัทธาวัดเกตการามได้ปรับมาใช้เป็นกลองปูชา ปัจจุบันเริ่มชำรุดลงและถ้าเป็นไปได้ควรจะนำกลับมาเป็นกลองชัยมงคลอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น กลองชัยมงคลจึงทำหน้าที่เป็นกลองบูชาประจำวัด
เครื่องประกอบที่ใช้การตีกลองชัยมงคล
ชัยมงคล เป็นกลองที่วางไว้บนหอกลอง มีกลองอยู่ ๔ ใบ กลองใบใหญ่ ๑ ใบ
อยู่ทางซ้ายมือ กลองใบเล็ก ๓ ใบ อยู่ทางขวามือ ขนาดลดหลั่นกัน คำว่า จัยยะ หมายถึง ชัยชนะ และคำว่า มงคล หมายถึง ดีงาม
ลูกตุบ หมายถึง กลองใบเล็ก ๓ ใบ มีขนาดลดหลั่นกัน วางไว้ทางด้านขวามือ
ของผู้ตี
โหม่ง ใช้ตีประกอบจังหวะโดยเป็นจังหวะหลัก เสียงโหม่งแต่ละใบจะใช้เสียง
“โด” หรือ เสียง “ซอล” โหม่งมีลักษณะแบบเรียบตรงกลางนูน มีขอบนอกหักมุมตรงขอบจะเจาะรู ๒ รู ร้อยเชือกไว้ เพื่อสะดวกการตี
ฉาบ ใช้ประกอบจังหวะ ซึ่งการตีฉาบจะมีลีลาท่าทางประกอบ ฉาบจะตีหยอกล้อยั่วเย้ากับกลอง ฉาบทำด้วยโลหะตรงกลางของฉาบจะมีโค้งออกมา เพื่อสะดวกในการจับฉาบ ทำให้เกิดเสียงกังวาน
ไม้ค้อน เป็นไม้ตีกลอง พันด้วยผ้าล้วน ๆ ใช้ตีด้วยมือข้างขวา มักนิยมใช้ผ้าสี เหลือง ขาว ในการพัน
ไม้แจ่ม เป็นไม้ตีกลองทำด้วยไม้ไผ่ ฉีกปลายออกเป็นซี่ ๆ ใช้ตีด้วยมือข้างซ้าย
การขึ้นขันครู เป็นการเอาเครื่องสักการะ ได้แก่ ดอกไม้สีขาว ๙ ดอก ธูป ๙ ดอก น้ำขมิ้นส้มป่อย ๑ ขัน นำไปสักการะมอบตัวเป็นศิษย์
คาถาธรรม คือ บทคาถาธรรมในทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ใช้ในการตีกลองชัยมงคลในแต่ละเพลง
คาถาวะปันตัว คือ คาถาที่มีตัวอักษรล้านนา คือ O (วะ) โดยเขียนไว้ทั้งหมดหนึ่งพันตัว จึงเรียกชื่อคาถานี้ว่า วะปันตัว (วะพันตัว)
น้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำที่มีส่วนประกอบของดอกคำฝอย และฝักของดอกส้มป่อยผสมรวมกัน เกิดเป็นสีเหลืองคล้ายสีขมิ้น ตามความเชื่อของชาวล้านนาจะใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยในการขอขมา
เครื่องดนตรีและอุปกรณ์ในวงประกอบด้วย
(๑) กลองสะบัดชัยโบราณ 1 ชุด
ประกอบด้วยกลองใบใหญ่ 1 ลูก และกลองใบเล็ก 3 ลูก


โหม่งหรือฆ้องมีได้ตั้งแต่ 9 ใบหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับขนาดของหน้ากลองใบใหญ่
ไม้ตีโหม่งมีจำนวนเท่ากับโหม่งที่ใช้ มีขนาดลดหลั่นกันไปตามขนาดของโหม่ง

ไม้ค้อน จะใช้ 1 อันหรือ 1 คู่ (2 อัน) แล้วแต่จังหวะเพลงที่ตี ไม้แจ่ม 1 อัน
ชื่อ นายมานพ ยาระณะ ปัจจุบันอายุ ๗๔ ปี เกิดวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๔ บิดาชื่อ นายคำปัน ยาระณะ อาชีพรับราชการครู มารดาชื่อ นางบัวเขียว ยาระณะ อาชีพค้าขาย ภรรยาชื่อ นางสมัย ไชยวงค์ มีบุตรสาว ๑ คน คือ นางสาวชลธาร ยาระณะ
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. ๒๔๘๘ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนวัดศรีดอนไชย อำเภอเมืองเชียงใหม่
ประวัติการทำงาน
-พ.ศ. ๒๔๘๘ : ประกอบอาชีพครูสอนศิลปะการต่อสู้เชิง (การต่อสู้มือเปล่า) เชิงดาบ เชิงหอก และศิลปะการชกมวยไทยในนามของค่าย พันศักดิ์สมัครเล่น พันศักดิ์ลูกชาวเหนือ และค่ายคล่องประชัน โดยไม่คิดค่าสอน
: ประกอบอาชีพครูสอนศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านล้านนา ศิลปการแสดง เช่น การตีกลองชัยมงคล กลองสะบัดไชยโบราณ กลองปู่จา (กลองบูชา) กลองปู่เจ่ กลองมองเซิง (แบบราชสำนัก) กลองทิงบ้อม กลองซิ้งหม้อง และศิลปะการฟ้อน เช่น การฟ้อนผางประทีป ฟ้อนเจิง (ฟ้อนเชิง) ฟ้อนดาบ ฟ้อนหอก ฟ้อนหลาว ฟ้อนสาวไหม (แมงเบิง) ฯลฯ โดยใช้ลานบ้านเป็นโรงเรียนมากว่า ๖๐ ปี โดยไม่คิดค่าทำการสอน
-พ.ศ. ๒๕๔๐ : เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ของวิทยาลัยนาฎศิลปเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น